1. ตัดสินใจก่อนว่า จะขายเองหรือผ่านเต็นท์
เมื่อคุณตัดสินใจวางแพลนจะขายรถยนต์มือสองแล้ว สิ่งที่คุณควรทำเป็นอย่างแรกเลยคือ ศึกษาและตัดสินใจก่อนว่า จะขายเอง หรือขายผ่านเต็นท์ซื้อ-ขายรถมือสอง ซึ่งทั้ง 2 แบบมีข้อดี-ข้อเสียแตกต่างกันไป
- ขายเอง : คุณจะได้ค่า ซื้อขายรถยนต์ ตามราคาท้องตลาดมือสองไปแบบเต็ม ๆ ไม่ต้องถูกหัก แต่อาจจะขายออกได้ช้าเล็กน้อย และถ้าตั้งราคามาไม่ดี หรือเตรียมสภาพรถยนต์มาไม่ดีก็อาจถูกต่อรองราคาจนต่ำกว่าปกติได้ เพราะขาดประสบการณ์ในเรื่องการขายรถมือสองและการต่อรองราคา
- ขายผ่านเต็นท์ : คุณอาจจะเสียค่าส่วนต่างจากเดิมเล็กน้อย เพราะเต็นท์จะยอมรับความเสี่ยงด้วยการซื้อทันที และอาจตกแต่งรถยนต์เล็กน้อยก่อนออกขายต่อไป แต่ก็มีข้อดีที่ขายได้ไว ได้เงินไว และไม่ต้องลำบากมาหาลูกค้าหรือทำเรื่องเอกสารเองให้เสียเวลา
2. ตรวจเช็กสภาพรถ
นอกจากเรื่องยี่ห้อและรุ่นของรถที่คนจะเลือกซื้อแล้ว สภาพรถก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญที่จะทำให้คนตัดสินใจซื้อหรือไม่ซื้อ ดังนั้น ก่อนที่คุณจะนำรถของคุณไปขาย คุณจำเป็นที่จะต้องตรวจเช็กสภาพรถให้เรียบร้อยก่อนว่า สามารถใช้งานได้ปกติหรือไม่ สภาพโดยรวมเป็นอย่างไร มีตำหนิตรงไหนหรือไม่ หากรถมีปัญหาที่จุดใดจุดหนึ่งจะเลือกแก้ไขก่อนหรือแจ้งคนที่สนใจซื้อตามตรงแล้วลดราคาให้พิเศษ
3. ปรับหน้าตาสวยเพื่อดึงดูดให้คนซื้อ
หลังจากตรวจเช็กสภาพรถยนต์โดยรอบเรียบร้อยแล้ว ส่วนใหญ่รถเก่าหรือรถมือสองจะต้องเจอตำหนิจากการใช้งานบ้าง เช่น รอยขีดข่วน หรือตำหนิอื่น ๆ ฯลฯ ซึ่งเป็นเรื่องปกติ หากคุณอยากที่จะขายรถของคุณให้มีราคาดีและขายออกไว อาจจะมีการตกแต่งหน้าตารถให้ดูดีขึ้น เช่น ทำความสะอาดรถให้ทั่วทั้งภายนอกและภายใน เก็บรอยตำหนิ และแว็กซ์ให้รถดูเงาสวย ฯลฯ หากเป็นรถยนต์รุ่นเก่าอาจจะต้องประเมินอีกครั้งว่า จะติดตั้งอุปกรณ์พิเศษอะไรให้ดึงดูดใจคนซื้อดี โดยที่ยังคุ้มค่ากับราคาขาย นอกจากนี้ อย่าลืมที่จะถ่ายรูปสวย ๆ แสงดี พื้นหลังละมุนไม่เรียบหรือรกจนเกินไปเพื่อให้คนซื้อดูได้ง่าย และถ่ายให้เห็นรถยนต์ที่จะขายในหลาย ๆ มุม ทั้งด้านนอก และด้านในรถ
4. ตั้งราคารถให้เหมาสม
การตั้งราคาไว้ในใจก่อนนำไปขายจริง จะทำให้คุณได้รับเงินแบบไม่ถูกกดราคาจากผู้ที่ซื้อต่อ ซึ่งราคาที่จะตั้งนี้ควรพิจารณาจาก ราคากลางของตลาด ว่า ในท้องตลาดรถมือ 1 และมือ 2 รถรุ่นเราราคาเฉลี่ยประมาณเท่าไหร่, มีประวัติการใช้งาน(ดูจากค่าไมล์) ประวัติการเช็กสภาพรถ และประวัติการซ่อมอย่างไรบ้าง, มีการปรับแต่งตัวรถหรืออุปกรณ์เสริมพิเศษอะไรหรือไม่, ยังคงมีประกันภัยเหลือมั้ย ทั้งนี้ อาจตั้งสูงกว่าราคากลางของตลาดไว้เล็กน้อยเผื่อมีการต่อรองราคากันก็ได้ แต่ไม่ควรสูงจนเกินไป เพราะคนที่สนใจอาจจะมองผ่านรถของคุณไปเลยก็ได้
5. รับเงินสดหรือผ่านไฟแนนซ์
สำหรับคนที่ขายรถให้เต็นท์อาจจะข้ามในส่วนตรงนี้ไปก็ได้ เพราะโดยปกติเต็นท์เหล่านั้นจะจ่ายเงินให้คุณทันที แต่ถ้าคุณเลือกที่จะขายเองก็อาจจะยุ่งยากซักเล็กน้อย เพราะต้องมาดูเรื่องเอกสารและเสียเวลาเกี่ยวกับการรับเงิน ซึ่งทำได้ 2 แบบ คือ จ่ายเงินสดกับผ่านไฟแนนซ์ โดยการจ่ายเงินสดมักจะไม่ค่อยพบเท่าไหร่ เพราะส่วนใหญ่คนธรรมดาที่ซื้อรถยนต์มือสองมักจะไม่มีเงินสดมากพอ ที่เห็นว่าขายแล้วได้เงินสดทันทีเลยมักจะเป็นการขายให้เต็นท์รถยนต์มากกว่า
ส่วนการขายผ่านไฟแนนซ์จะมีขั้นตอนยุ่งยากไปอีกระดับ คือ คุณจะต้องเตรียมเอกสาร เช่น สำเนาเล่มทะเบียนรถ รูปถ่ายรถ ฯลฯ เพื่อให้ไฟแนนซ์ประเมินวงเงิน จากนั้นจะมีการนัดวันเพื่อประเมินสภาพจริง, เซ็นโอนรถยนต์ให้แก่ไฟแนนซ์, วันรับเช็กค่ารถยนต์หลังการโอนรถผ่านกรมขนส่งทางบก ฯลฯ กว่าจะได้รับเงินก็หลายวันไม่ใช่น้อย ใครที่ต้องการรีบใช้เงินควรจะมีการวางแผนล่วงหน้าหรือเลือกใช้วิธีการขายให้เต็นท์ซื้อ-ขายรถยนต์จะดีกว่า
6. ตกลงให้ชัดเจน และไม่ตามใจจนเกินไป
เพื่อไม่ให้มีปัญหาภายหลังการขาย ทุกครั้งจึงควรจะมีการตกลงให้ชัดเจนก่อนขายทุกครั้ง เช่น ค่าธรรมเนียมในการโอน, การมัดจำและยกเลิก, การต่อประกันในกรณีที่ประกันใกล้จะหมดอายุ ฯลฯ เมื่อมีการตกลงแล้ว ย่อมมีการต่อรอง อย่ายอมให้ผู้ที่สนใจจะซื้อกดราคาหรือข้อต่อรองมากจนเกินไป เพราะคุณอาจจะขาดทุนได้ อย่าลืมนึกถึงเสมอว่า ถ้าเขาไม่สนใจคงไม่พยายามต่อ เพราะเขาสนใจเขาถึงต่อรองพูดคุยกับเราได้นาน ๆ ข้อเสนอไหนที่รับได้ก็รับไว้ ถ้ากดกันเกินไปก็รอคนที่เขารับได้จะดีกว่ามานั่งเสียดายภายหลัง
สำหรับใครที่กำลังคิดจะขายรถเก่าหรือรถยนต์มือสองของตัวเองอยู่ อย่าลืมนำเทคนิคที่เรามาบอกต่อในบทความนี้ไปปรับใช้ให้เหมาะสมกับตัวเองกัน เพื่อไม่ให้ถูกเอาเปรียบกดราคา สุดท้ายนี้ ในช่วงโควิด-19 ที่กำลังแพร่ระบาด ควรพยายามจัดการรายรับรายจ่ายแต่ละเดือนให้ดี อย่ารีบขาย เพราะต้องการใช้เงินด่วนจนเกินไป จะทำให้คุณพลาดได้รับเงินน้อยหรือข้อต่อรองที่ไม่ดีกับตัวคุณเอง