ปัญหาที่คุณอาจจะพบเจอ หากเลือกรถเก่าไม่ดี
รถยนต์ก็เหมือนสิ่งของทั่วไปที่เมื่อผ่านการใช้สภาพรถเก่าย่อมไม่เหมือนของใหม่ บางครั้งอาจเป็นแค่สภาพหน้าตาภายนอก แต่บางครั้งก็อาจมีการสึกหรอในส่วนที่เกี่ยวกับการใช้งาน เช่น ยางขอบกระจกเสื่อม, เบรกใช้งานได้ไม่ดี, โช๊คมีปัญหา, เครื่องหลวม, ช่วงล่างพัง ฯลฯ หากคนที่ดูไม่เป็น มีความรู้เกี่ยวกับการเลือกรถเก่าได้ไม่ดีพอ ก็อาจจะโดนย้อมแมวให้ภายนอกดูดี ใช้งานแรกๆ โอเค แต่พอซื้อมาใช้จริงมีปัญหา ซ่อมหนักจ่ายแพงจนราคาแทบจะกลายเป็นซื้อรถใหม่
วิธีเลือกซื้อรถเก่า หรือรถยนต์มือสองให้คุ้ม!
เชื่อว่า คงไม่มีใครเดินดุ่มๆ เข้าไปซื้อรถแบบไม่หาข้อมูลไปก่อนแน่นอน เพราะรถแต่ละคันราคาหลักแสนไปจนถึงหลักล้านทั้งนั้น แต่โอกาสที่จะโดนย้อมแมวก็มีไม่ใช่น้อย หากไม่ได้เชี่ยวชาญด้านรถยนต์จริงหรือไม่ศึกษามาอย่างละเอียดก็อาจจะเผลอซื้อรถเก่าที่ถูกจับไปย้อมแมวแบบนั้นได้ง่าย เราเลยขอมาบอกต่อวิธีเลือกซื้อรถเก่า หรือรถยนต์มือสองให้คุ้มกัน แม้จะเป็นมือใหม่ก็สามารถนำวิธีเหล่านี้ไปใช้ได้สบาย
1) ศึกษาข้อมูลและประวัติของรถคันที่จะซื้อ
เบื้องต้นที่ทุกคนควรทำหลังจากกำหนดงบประมาณเพื่อหาขอบเขตรุ่นของรถยนต์ที่พอจ่ายได้ไหวแล้ว คุณควรที่จะศึกษาข้อมูลรถยนต์แต่ละรุ่นว่า เป็นยี่ห้อ-รุ่นอะไร ผลิตในปีไหน สีอะไร สเปคตอบโจทย์ผู้ขับขี่หรือไม่ ฯลฯ เพื่อพิจารณาว่า หากซื้อมาแล้ววันหนึ่งเกิดต้องซ่อมจะสามารถหาอะไหล่มาซ่อมได้ง่ายหรือไม่ ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการดูแลและซ่อมแซมแพงแค่ไหน และถ้าจะขายต่อจะมีโอกาสขายได้หรือราคาลดลงขนาดไหน จากนั้นพอเลือกได้แล้วว่า จะซื้อรถแบบไหน ก็ลองหาข้อมูลตามประกาศขายรถเพิ่มเติมดูว่า แต่ละคันมีประวัติยังไงบ้าง ทำไมเจ้าของถึงตัดสินใจขาย เพื่อความสบายใจต่อไป
2) เช็คสภาพทั้งภายนอกและภายในห้องโดยสาร
สิ่งแรกที่ตรวจเช็คเพื่อป้องกันการย้อมแมวได้ง่ายที่สุดก็คือ การเช็คสภาพทั้งภายนอกรอบคันรถไปจนถึงภายในห้องโดยสาร โดยสังเกตได้จาก สีมีความสม่ำเสมอหรือตำหนิตรงไหนมั้ย? โครงสร้างปกติหรือไม่? เลขตัวถังตรงกับในเล่มทะเบียนมั้ย? ใช้งานไปกี่ไมล์? ภายในห้องเครื่องสภาพเป็นอย่างไร? เพราะสิ่งเหล่านี้จะบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่า เจ้าของเดิมดูแลรักษารถดีมั้ย ถ้าดูแล้วสภาพไม่น่าประทับใจ แสดงว่า เจ้าของเดิมดูแลรถไม่ค่อยดีแน่นอน แต่ถ้าดูแล้วสภาพโดยรวมค่อนข้างดีค่อยมาเช็คต่ออีกทีว่า สภาพเครื่องยนต์ต่างๆ ยังดีอยู่หรือไม่
3) เช็คเครื่องยนต์และระบบการทำงานต่างๆ
ขนาดคนยังดูแค่หน้าตาไม่ได้ รถเองก็เช่นกันจะดูแค่ภายนอกโดยรอบอย่างเดียวไม่ได้ แต่ต้องเช็คสภาพเครื่องยนต์และการทำงานของระบบการทำงานต่างๆ อีกด้วย โดยลองเปิดฝากระโปรงหน้ารถดูเครื่องยนต์ต่างๆ, ช่วงล่างใต้ท้องรถ, ระบบไฟ และระบบอื่นๆ สามารถทำงานได้ปกติหรือไม่? มีของเหลวไหลออกมาจากส่วนไหนจนผิดปกติรึเปล่า? หากในส่วนนี้ไม่มั่นใจ อาจจะลองชวนคนที่พอจะรู้เรื่องรถยนต์มาช่วยดูด้วยก็ได้ เช่น คนในครอบครัว หรือจ้างช่างยนต์ที่รู้จักไปด้วย ฯลฯ
4) ทดลองขับ
ดูด้วยตาและการสัมผัสนิดๆ หน่อยๆ ไม่เท่ากับการทดลองใช้จริง ดังนั้น ก่อนที่จะซื้อคุณควรที่จะทดลองขับรถคันที่ต้องการจะซื้อจริง เพื่อสังเกตก่อนว่า สามารถขับได้ปกติ ไม่มีความผิดปกติที่ส่วนไหน หากพบอาการผิดปกติควรที่จะจดไว้แล้วตกลงกับผู้ขายว่า จะให้ผู้ขายซ่อมจนกว่าใช้งานได้ปกติก่อนส่งมอบ หรือประเมินว่า นำไปซ่อมเองจะคุ้มมั้ยแล้วค่อยต่อรองราคา หรืออาจจะปฏิเสธแล้วค่อยตัดสินใจซื้อรถยนต์คันอื่นแทน และอย่าลืมหลังทดลองขับเสร็จแล้วให้เช็คความเรียบร้อยโดยรอบอีกครั้ง ว่ามีส่วนไหนผิดปกติหรือไม่? มีน้ำรั่วตรงไหนรึเปล่า?
5) เช็คเอกสารและอุปกรณ์ต่างๆ
เมื่อทุกอย่างถูกใจใช่เลย อย่างสุดท้ายที่ไม่ควรลืมเด็ดขาดคือ การเช็คเอกสารและอุปกรณ์เกี่ยวกับรถยนต์ ตั้งแต่ เอกสารคู่มือผู้ใช้, สมุดเล่มทะเบียน (ดูว่า มีรายละเอียดเกี่ยวกับรถถูกต้องทุกอย่างหรือไม่?) , เอกสารตรวจสอบประวัติบริการ (เพื่อดูประวัติเข้ารับการดูแลซ่อมบำรุงเป็นประจำหรือไม่?), กุญแจ-รีโมท นอกจากนี้ อาจทำเอกสารการซื้อขาย(และเอกสารประกอบการซื้อขายอื่นๆ เช่น สำเนาบัตรประชาชน หลักฐานต่างๆ ฯลฯ) เพิ่มเติม เผื่อมีปัญหาในอนาคตจะได้ดำเนินการทางกฎหมายต่อไปได้ง่ายขึ้น
สำหรับมือใหม่ที่กำลังวางแพลนจะ ซื้อรถยนต์มือสอง ให้คุ้มค่า คุ้มราคา ไม่โดนย้อมแมว ไม่จำเป็นว่า คุณจะต้องมีประสบการณ์มากมาย ขอแค่ทำตามวิธีที่เรานำมาฝาก 5 ข้อข้างต้น ก็จะช่วยให้คุณเลือกรถยนต์ได้ตอบโจทย์ตรงใจงบไม่บานปลายแน่นอน แต่สำหรับใครที่ไม่มั่นใจจริงๆ ขอแนะนำให้พาคนที่พอมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องรถยนต์บ้าง เช่น คนในครอบครัว เพื่อน ช่างซ่อมรถที่รู้จัก ฯลฯ ก็จะช่วยให้ตัดสินใจซื้อรถยนต์ได้ดียิ่งขึ้นไปอีก